Tuesday, October 29, 2013

เทคนิคลับท่องศัพท์ได้เร็วอย่างไม่น่าเชื่อ

ผมเชื่อว่าหลายคนคงจะประสบปัญหาท่องเท่าไหร่ก็ไม่เข้าหัว ลืมอย่างรวดเร็ว แค่นั้นยังไม่พอ ท่องแล้วแต่ใช้งานไม่เป็นอีกต่างหาก ในความเป็นจริงการเอาคำศัพท์มาท่องเป็นนกแก้วนกขุนทอง เป็นการฝืนธรรมชาติของมนุษย์! จริงๆแล้วสมองมนุษย์มหัศจรรย์มากครับเพียงแต่เราไม่รู้วิธีการใช้อย่างถูกต้อง นักวิทยาศาสต์ต่างก็พยายามไขความลับของสมองมนุษย์กันอยู่ ผมไม่แนะนำให้ท่องศัพท์เพื่อเพียงแต่คิดว่าจะทำให้เก่งภาษาไวขึ้น (เพราะดดยความเป็นจริงมันไม่ไวอย่าที่คิด) แต่ถ้าอยากจะท่องจริงจริ๊งๆให้ทำอย่างไรดี.

ผมมีเทคนิคลับสุดยอดมาฝาก ซึ่งเทคนิคนี้นำมาจากงานวิจัยที่มีชื่อเสียงทางการศึกษาภาษา ของ Dr. Paul Pimsleur ซึ่งเขาถือว่าเป็นไอสไตน์ทางภาษาเลยทีเดียว วิธีนี้จะฝึกสมองส่วนของภาษาโดยตรง(ใครสงสัย ให้ไปอ่านบทความ แกรมม่ายิ่งเรียนยิ่งโง่) เป็นเทคนิคที่ได้ผลรวดเร็ว มีประสิทธิภาพ นอกจากนั้นยังให้เราใช้งานคำได้อย่างเป็นธรรมชาติ ทั้งการฟังและการออกเสียง

ลองทำดูแล้วจะประหลาดใจว่า OH MY GOD!! IT WORKS! ไม่เชื่อให้ลองพิสูจน์ด้วยตัวเองนะครับ

1. เตรียมสถานที่
ให้อยู่ในที่เงียบ และมีสมาธิ เตรียมสมองให้พร้อม

2. หาความหมาย
สมุติว่าผม อยากท่องคำว่า Facilitate ให้เข้าไปในเว็บ dictionary online ที่ไหนก็ได้ที่มีเสียงอ่าน ความหมาย และตัวอย่างประโยค เช่น http://dictionary.cambridge.org/us

จากนั้นค้นหาคำว่า Facilitate ในเว็บ อ่านคำแปล อ่านตัวอย่างประโยคคร่าวๆ

3. เริ่มจากการฟังก่อน (เน้นเลยนะครับฟัง)
พอเราเริ่มรู้ความหมายของคำแล้ว ให้กดฟังเสียงอ่าน จากนี้ให้หยุดมองจอเลยครับ ฟังอย่างเดียว ไม่ต้องนึกถึงตัวอักษรทั้งสิ้นหยุดคิดเรื่องอื่น แล้วพูดตามดังๆ พูดตามให้เหมือนเสียงที่ได้ยิน ทำซ้ำจนกว่าจะจะออกเสียงได้เหมือน

4. ฟังรูปแบบประโยคตัวอย่าง
เอารูปแบบประโยคตัวเองมากดฟัง ใครมี Longman dictionary ที่เป็นโปรแกรมในเครื่องจะมีเสียงประโยคตัวอย่างพร้อม (แนะนำว่า ใครไม่มีรีบไปซื้อเลยครับ ร้านซีเอ็ดมีขาย ซื้อมาเอาแต่ CD มาใช้ ส่วนหนังสือทิ้งไป ) แต่ถ้าไม่มีจริงๆ ก็เข้า google translate แล้วให้เว็บพูดให้ฟัง

ฟังแล้วจิตนาการภาพตาม พูดตามไปด้วย ทำซ้ำจนกว่าเราจะมีความสามารถในการได้ยินประโยคสร้างภาพได้ ประมาณ 4-5 รอบ แล้วแต่คน เน้น! จิตนาการภาพ ไม่ใช่ตัวหนังสือ นะครับ

5. หัดสร้างประโยคง่ายๆ
ให้ลองพูดประโยคง่ายๆที่มีคำศัพท์คำนั้น เอาประโยคตัวอย่างมาเปลี่ยนคำนามเฉยๆ

เช่น ถ้าประโยคตัวอย่างเป็น
Computers can be used to facilitate language learning.

เราก็เปลี่ยนเป็น
Novel books can be used to facilitate language learning.

เน้นนะครับว่า พูดเอา อย่าเขียน พูดออกมาเสียงดังๆ

6. ให้ทบทวน
สำคัญมากครับ ต้องทบทวน! แต่ให้ทบทวนตามเวลาดังนี้

5 seconds, 25 seconds, 2 minutes, 10 minutes, 1 hour, 5 hours, 1 day, 5 days, 25 days, 4 months, and 2 years.

วิธีทบทวนใช้วิธีเดิม คือฟังคำ และฟังตัวอย่างประโยค ถ้าจะให้ดีเวลาทบทวนให้หาตัวเองประโยคใหม่ๆมาฟังด้วย

7. เริ่มเน้นอ่านเมื่อพร้อม
หลังจากทบทวนฟังไปประมาณช่วง 1 วัน หรือ 5 วัน หรือจนกว่ามั่นใจว่าใช้งานคำโดยการพูดได้ถูกต้อง และอย่างเป็นธรรมชาติแล้ว ให้เริ่มอ่านได้ครับจะเขียนจะจดอะไรก็ตามสบาย

8. ใจเย็นๆ อย่ารีบร้อน
ท่องน้อยๆคำต่อวัน 3-5 คำ ไม่ต้องเยอะ ไม่ต้องรีบครับ ทำประมาณวันละ 30 นาทีไม่ขาดไม่เกิน เพราะ 30 นาทีคือเวลาที่เหมาะสมที่สุดที่สมองจะเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

คนที่ทำได้อย่างถูกต้องสมองจะเกิดสภาวะเพลงติดหัว เคยเป็นไหมครับเวลาฟังเพลงแล้ว เพลงมันวนในหัวเอาไม่ออก แต่แทนที่จะเป็นเพลงดันเป็นคำศัทพ์แทน นี่คือธรรมชาติที่สมองเรียนรู้ภาษา คือพลังที่ซ่อนเร้นที่หลายคนไม่รู้ 

แต่ผมยังเน้นนะครับว่าให้ ฟัง และอ่าน หนังสือบทความที่ฝรั่งใช้ให้มาก เพราะว่าคำต่างๆเหล่านั้นเป็นคำที่เขาใช้กันบ่อยๆ และทำให้เราใช้ภาษาได้ไว ส่วนเทคนิคการท่องศัพท์นี้เอาไว้ใช้กรณีที่จำเป็นต้องท่อง หรืออยากได้คำศัพท์นั้นจริงๆเท่านั้น อย่าท่องเพราะคิดว่าอยากได้ภาษาไวๆ เพราะมันไม่ไวเท่าการฟังและอ่านหรอกครับ

Friday, October 25, 2013

สูตรลับเพื่อสอบ TOEFL


image from : www3.algonquincollege.com
ใครที่กำลังเตรียมสอบ TOEFL , IELTS, CU TEP และอื่นๆอีกมามาย ผมมีเทคนิคลับสุดยอดมาฝาก รับรองว่ารู้เทคนิคนี้แล้วสอบได้คะแนนสูงลิ่วแบบไม่น่าเชื่อเลยหล่ะ พร้อมไหมครับ?

สูตรลับการสอบคือ...ฝึกภาษาไปเรื่อยๆจนใช้งานได้ดีเสียก่อน แล้วไปถึงซื้อหนังสือเตรียมสอบมาอ่าน

แค่นี้แหละครับสูตรลับของผม ลองเอาไปทำดูนะ

สูตรลับนี้ผมได้มาจากประสบการณ์ตรงเลยหล่ะ รู้ไหมครับว่าผมสอบ TOEFL ถึง 5 ครั้งภายใน 3 ปี ผมก็ไม่ได้มีเงินร่ำรวยแต่เพราะความเข้าใจผิดๆ ทำให้ผมต้องเสียเงินอย่างเปล่าประโยชน์ ด้วยความเข้าใจผิดที่ว่าไปเรียน TOEFL ตามโรงเรียนคงจะทำให้ผมสอบได้คะแนนดีๆอย่างที่โฆษณา

ผิดถนัดเลยครับ!

  1. คอส TOEFL ทั้งหลายแหล่ ไม่ได้ทำให้คุณสอบได้คะแนนสูงถ้าไม่มีพื้นฐานที่แน่นเสียก่อน เพราะคอสเหล่านี้ไม่ได้ปูพื้นฐานให้คุณเลยครับ เขาสอนการทำข้อสอบ
  2. ถ้าพื้นภาษาไม่ดีถึงระดับหนึ่งอย่าไปสอบให้เสียเงินเปล่าเลย ทั้งเสียเงิน เสียเวลา และเสียกำลังใจ

แต่ถ้าพื้นฐานคุณดีอยู่แล้ว หนังสือเตรียมสอบ TOFEL ทั้งหลายจะช่วยให้คุณเข้าใจแนวข้อสอบมากขึ้น โดยไม่จำเป็นเลยที่ต้องไปเรียนตามโรงเรียนต่างๆ

ผมเข้าใจครับว่าหลายคนต้องการใช้คะแนนสอบอย่างเร่งด่วนเลยต้องหาทางลัดต่างๆ ผมตกอยู่ในสถานะการณ์นั้นมาแล้ว ทางลัดที่ผมยอมเสียเงินไปมากมายไม่ได้ช่วยให้ลัดได้จริง  ( มันเครียดมาก )

วิธีที่ทำให้ผมสามารถสอบ TOEFL ได้คะแนนสูงได้คือวิธีง่ายๆอย่างที่ผมบอกไปแล้ว

ฟัง และอ่าน ภาษาอังกฤษในระดับที่คุณเข้าใจประมาณ 80-90% ทำเรื่อยๆจนพื้นฐานภาษาของคุณแน่นเสียก่อน  (เปิดหนังสือ TOEFL อ่านดูถ้าอ่านเข้าใจอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่เครียด แสดงว่าพื้นเริ่มแน่นแล้ว) ถึงค่อยไปเตรียมสอบถึงจะเป็นทางลัดเร็วที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพยายามเตรียมสอบแบบโดยไม่สนใจพื้นฐาน ยิ่งทำให้คุณเรียนรู้ช้ามากขึ้น 

ถึงแม้ว่าคุณโชคดีสอบได้คะแนนผ่านเกณแบบเฉียดฉิว สุดท้ายคุณจะมาลำบากในสถานะการณ์ที่ต้องใช้ภาษาอยู่ดี มันจะเครียดยิ่งกว่าเตรียมสอบมาก่อนมากครับ

ใจเย็นๆ ใช้ภาษาให้สนุก กลับได้ผลลัพท์ที่ดีอย่างไม่น่าเชื่อเลยหล่ะ




Thursday, October 24, 2013

ฝึกภาษากับคอมพิวเตอร์เกม

พูดถึง Computer Games มักจะมีอยู่ 2 กระแส ชอบสุดๆ( Gamers ) หรือไม่ก็เกลียดสุดๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งข่าวในแง่ลบเรื่องเด็กติดเกม (Video Game Addiction) ออกกันอย่างครึกโครม เกมเลยดูเป็นผู้ร้ายในสายตาของใครต่างใครหลายๆคน ซึ่งในความเป็นจริงคอมพิวเตอร์เกมไม่ได้โหดร้ายอย่างนั้นหรอกครับ ยิ่งไปกว่านั้นในระยะหลังๆนี้ เกมได้ถูกนำมาใช้ในวงการการศึกษา และทางการแพทย์กันมากมายเลย

สำหรับพวกเราแล้วเกมคือเครื่องมือฝึกภาษาอย่างดีเลยหล่ะ เพราะเกมทำให้เราต้องอยู่ในสถานการณ์การที่ต้องใช้ภาษาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่เกมแบบไหน และจะเล่นอย่างไรถึงจะได้ภาษา ผมมีเคล็ดลับมาฝากครับ

1. เล่นเกมแนวที่มีเนื้อเรื่องยาวและซับซ้อนพอสมควร

เกมแนว RPG ( Role Playing Game )
ที่เราต้องสมบทบาทเป็นตัวละครในเกม เกมดังๆมีเยอะมากครับผมยกตัวอย่าง เช่น

image from: masseffect.bioware.com
Mass Effect Series ใครชอบ sifi แนะนำเลยนะครับ
The Elder Scrolls V : Skyrim แต่ถ้าชอบ The lords of the rings อาจจะชอบเกมนี้
Fallout 3 ออกแนวนิยายวิทยาศาสตร์
LA noir แนวนักสืบ

เกมแนวจำรองสถานการณ์ (Simulation) 
มีเยอะแยะมากมาย เช่น

image from : gamefitnation.com
SimCity แนวสร้างเมือง
The Sims 3 แนวจำลองชีวิตคน
Anno 1701, Anno 2070 สร้างเมือง

เกมแนววางแผน (Stategy)
ใครชอบเล่นพวกเกมที่ต้องใช้สมองคิดเยอะๆเช่น หมากกระดานทั้งหลาย น่าจะชอบ เช่น
image from : www.joshuakennon.com
Sid Meier's Civilization V

เกมแนวนิยาย (Virtual Novel ) 
เกมแนวนี้ไม่ต้องทำอะไรมากครับ เหมือเรานั่งอ่านนิยายเสียมากกว่า เช่น

Dear Esther นิยายเชิงสยองขวัญ แต่ไม่น่ากลัวครับ เป็นบรรยากาศสวยๆริมทะเล แต่ศัพท์ที่เขาใช้ในเกมยากๆทั้งนั้น ไม่แนะนำสำหรับพึ่งเรียนนะครับ

แต่สำหรับผม ผมแนะนำเกมนี้เลยครับ
image from : wikipedia.com
The Stanley Parable ผมว่าเป็นเกมที่เล่นสบายๆ ไม่ต้องคิดมาก เสียงพากษ์และซัพประกอบตลอดทั้งเกม เล่นง่าย แต่ได้ข้อคิดเยอะ

2. เล่นอย่างน้อย 45 นาที 
จากงานวิจัยพบว่า 15 นาทีแรกเป็นเพียงให้สมองเกิดสมาธิเท่านั้น แต่ถ้าให้สมองได้พัฒนาและเรียนรู้ต้องเล่นต่อไปอย่างน้อย 45 นาที หลักการนี้เอาไปให้กับการอ่านได้ด้วยนะครับ

3. เล่นเป็นประจำ
เล่นๆหยุดๆ จะไม่เกิดการเรียนรู้มากนักนะครับ

4. เล่นแล้วต้องรู้สึกสนุก
เกมสอนเด็ก A B C ถ้าเล่นแล้วสนุกก็เล่นได้ครับ แต่ถ้าไม่สนุกก็ไม่จำเป็นต้องเล่น


โดยทั่วไปเกมจะมีขายตามร้านขายเกมในห้างครับ แต่ถ้าที่บ้านมีอินเตอร์เนตไวๆ ก็ซื้อผ่านบริการร้านค้าออนไลน์ได้ที่ http://store.steampowered.com/ มีเกมให้เลือกมากมาย มีเกมถูกๆลดราคาอยู่เรื่อยๆ

ผมสนับสนุนให้ซื้อเกมถูกลิขสิทธิ์นะครับ เนื่องจากผมก็เป็นนักพัฒนาเกม ผมเข้าใจความยากลำบากกว่าจะได้เกมออกมาเกมนึง ต้องใช้ระยะเวลาและความพยายามอย่างมากเลย

ใครสนใจอยากเล่นเกมที่ผมกับทีมทำ ลองเข้าไปโหลดเล่นกันได้ ฟรี ที่
www.kravenmanor.com
รีบๆโหลดหล่ะ เดี๋ยวจะไม่ฟรีแล้วนะ


References
http://www.lingualgamers.com/thesis/
http://lingualgames.wordpress.com/article/10-key-principles-for-designing-video-27mkxqba7b13d-2/
http://beditionmagazine.com/using-video-games-in-a-new-language-of-learning/

Tuesday, October 22, 2013

ใช้ภาษาก็มานานแล้วไม่เห็นจะพัฒนาเลย ทำไมกันนะ

เดียวคงจะเริ่มมีคำถาม 

ทำก็ทำแล้ว เรียนก็เรียนแล้ว ไม่เป็นมันจะได้ ไม่เห็นภาษามันจะพัฒนาตรงไหน เท่าเดิมตลอด แถมรู้สึกแย่กว่าเดิมอีก!

ถ้าใครทำตามที่ผมแนะนำ เอาภาษาเข้าไปในชีวิตประจำวัน ฝึกฝนทุกวัน ใช้งานทุกวัน แล้วรู้สึกแบบนี้ ผมของแสดงความยินดีด้วยครับ! ไม่ได้พูดเล่นนะ ต้องแสดงความยินดีด้วย เพราะว่าระดับทางภาษาของคุณอยู่ในช่วง Plateau!

นักการศึกษาทุกคนจะเข้าใจดีครับ เพราะการเรียนรู้ของมนุษย์จะมีการเรียนรู้แบบเส้นโค้งตัว S เหรือเรียกว่า Learning Curve

แรกที่เราเริ่มเรียน จะรู้สึกเรียนรู็ได้ช้าหน่อยแต่ก็พอไปได้ (Slow beginning ) ไม่นานจากนั้นเราจะเก่งขึ้นอย่างรวดเร็ว เรียนอะไรก็รู้หมดเก่งขึ้นอย่างผิดหูผิดตา ช่วงนี้เราจะรู้สึกดีมากๆ เราเรียกช่วงนี้ว่า Steep acceleration แต่พอเราเรียนต่อไปเรื่อยๆๆ เราจะถึงจุดที่เรียกว่า Plateau หรือที่แปลว่าที่ราบสูง ช่วงนี้นี่แหละครับ คนจะท้อแล้วล้มเลิก! เรียนเท่าไหร่ๆ ใช้งานเท่าไหร่ๆก็เหมือนไม่พัฒนา หน้ำซ้ำยังเหมือนแย่ลงซะอีก! 

แต่ช่วงนี้นี่แหละครับ คือช่วงที่สมองพักตัวและสร้างเซลล์สมองเพื่อการเรียนรู้มากขึ้น สมองยังเกิดการเรียนรู้อยู่แต่จะไม่เห็นผล ให้พยายามทำต่อไปเรื่อยๆครับ ทำต่ออย่าท้อ เมื่อเซลสมองถูกสร้างและพัฒนาเรียบร้อย สมองจะเริ่มเข้าสู่ Slow Beginning อีกครั้งนึง และเป็นแบบนี้เรื่อยๆตลอดการเรียนรู้

 Plateau คือช่วงที่สมองพักตัวและสร้างเซลล์สมองเพื่อการเรียนรู้มากขึ้น
ดังนั้น อย่าท้อครับ ทำเรื่อยๆตามคำแนะนำที่ผมเขียนบทความไว้ให้ วิธีต่างๆที่ผมนำเสนอทั้งหมด ไม่ใช่วิธีที่ผมนั่งเทียนขึ้นมาเองนะครับ ผมเอามาจากการศึกษาวิจัยใหม่ๆ จากประสบการณ์ของผู้ที่เชี่ยวชาญด้านภาษา เช่น Mr. Steve Kaufmann ที่รู้ภาษามากกว่า 12 ภาษา และ อาจารย์ที่มีประสบการณ์ทางการสอนภาษามากกว่า 10 ปี A.J. Hoge และท่านอื่นๆ ส่วนตัวผมเอง เพื่อนผมพี่น้องผมใช้วิธีเดียวกันได้ผลกันมาแล้ว ทุกวิธีที่ผมบอกเป็นวิธีที่ผมทดลองด้วยตัวเอง ไม่ใช่ว่าผมได้ภาษามาจากที่อื่นแล้วนั่งคิดนั่งเทียนเขียนเองแล้วบอกว่าดี ดังนั้นมั่นใจ และสู้ต่อไปครับ ผมเป็นกำลังใจให้


References


Monday, October 21, 2013

I forgot my umbrella at the restaurant. อ่ะ

บางทีประโยคอย่าง อุ๊ยลืมร่มไว้ที่ร้านอาหาร อาจทำให้ฝรั่ง งง ได้เหมือนกัน

สำนวนไทยอย่างเช่น "เราลืมร่มไว้ที่ร้านอาหาร" เราก็แปลไปตรงๆตัวว่า

I forgot my umbrella at the restaurant.

แต่ฝรั่งเข้าใจจะได้ความหมายประมาณว่า

= ตอนอยู่ร้านอาหารอ่ะ ดันลืมว่าร่มของฉันเนี่ยหน้าตาเป็นยังไง นึกยังไงก็นึกไม่ออก (สีเขียวหรือสีฟ้านะ มีลายดอกหรือปล่าวหว่า  แต่พอเดินออกมาแล้วพึ่งนึกออกว่าร่มเป็นสีเหลืองลายดอก)

ดังนั้นเวลาจะใช้ในความหมายว่า ลืมร่มไว้
ให้ใช้ว่า

I (accidentally) left my umbrella at the restaurant.
= อุ๊ย แบบว่าเผลอทิ้งร่มไว้ในร้านอ่ะ

หรือ

I forgot my umbrella. (ไม่ต้องมีสถานที่) I left it at the restaurant.
I forgot to bring my umbrella out of the restaurant with me.

ถ้าต้องการจะบอกว่า อุ่ยลืมร่มไว้ที่บ้าน ไม่ได้เอามา
I left my umbrella at home.
I forgot to take my umbrella with me.
I forgot to bring my umbrella with me.

เลือกกันเลยนะครับชอบแบบไหน ไม่ต้องพยายามท่องนะครับ ใช้งานมันบ่อยๆเดียวมันขึ้นใจเอง

การใช้ as และ used to

มีคำถามจากคุณ Pu Pudding ครับ ผมเห็นว่ามีประโยชน์เลยขออนุญาติโพสเอาไว้ที่นี่ เผื่อคนมาทีหลังจะได้ไม่ต้องไล่หาในเพจ

คำถามมีอยู่ว่า

ช่วยอธิบายการใช้asหน่อยได้ไหมคะadmin แอบงงๆอะคะ
ที่จำได้คือasมี4ความหมายคือ เพราะว่า ตามที่ ในขณะที่ ในฐานะที่เป็น แต่เวลาอ่านบ้างประโยคก็ยังงงอยู่อะคะ เช่น she lost it, just as i said she would . แปลว่าอะไรหรอคะ แล้วทำไมต้องมีjustด้วยหละคะ เคยเห็นหลายประโยคแล้วที่มีjust ซึ่งถ้าไม่มีมันก็แปลได้(หาตย.ไม่เจอ^^)
และก็ used to กับ past simpleนี้ใช้แทนกันได้ใช่ไหมคะ


ตอบ

แบ่งได้เป็น 2 คำถาม
1.) การใช้ as

ถ้าอ่านตามหนังสือแกรมม่า ไม่แปลกหรอกครับที่จะงง และใช้งานลำบาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Preposition ซึ่งถือว่าเป็นแกรมม่าลำดับต้นๆที่ทำให้คนไทย งง ที่สุด

ผมคงไม่ตอบแบบหนังสือแกรมม่านะครับ เพราะ as ใช้งานได้เยอะ หลายสถานะการณ์มากครับนั่งท่องนั่งจำคงไม่ไหวแน่นอน แต่ผมจะแปลประโยคที่ คุณปูให้ตัวอย่างนะครับ

She lost it, just as I said she would.
= She lost it, just as I said she would lose it.

just = มีหลายความหมาย แต่ในที่นี้แปลว่า "พึ่งจะ ไม่นานนี้" ไม่ต้องใส่ก็ได้ครับ เป็นแค่เสริมความหมายเฉยๆ
as = มีหลายความหมาย แต่ในที่นี้แปลว่า "เหมือน" ถ้าจำแค่ตัวเดียวแบบนี้มันจำยาก เอาเป็นว่าถ้าจะจำให้จำเป็นท่อนๆ "as I said" = "ที่ฉันพูดไว้อ่ะ ว่า..."

ลองแปลเองดูเลย....(ห้ามแอบดูเฉลยนะ)
.
.
.
.
= หล่อนทำหายไปแล้ว, เหมือนที่ชั้นพึ่งพูดเลยว่าหล่อนอาจจะทำมันหาย!

ถ้าแปลได้คล้ายๆก็ยินดีด้วยครับ แต่ถ้าไม่ก็ไม่ต้องเครียด เริ่มกันใหม่ได้

2.) Used to กับ Past Simple แทนกันได้ไหม

ส่วน Used to กับ Past Simple เอามาแทนกันไม่ได้นะครับ ดูเหมือนจะคล้ายๆกัน แต่แปลได้คนละความหมาย

I used to go shopping at BigC.
= แต่ก่อนฉันไปซื้อของบิ๊กซีเป็นประจำเลย (แต่เดี๋ยวนี้ไปเซ็นทรั่นแทนและหล่ะ ไม่ได้ไปBigC แล้ว)
I went shopping at BigC yesterday.
= ฉันไปซื้อของที่BigC เมื่อวาน (แต่วันนี้อาจจะไปอีกก็ได้ บอกเฉยๆว่าไปมาเมื่อวาน)

ตอบครบแล้วนะครับ :-)


ประเด็นสำคัญจากโพสนี้คือ ผมเองเลิกเรียนแกรมม่าตามหนังสือไปนานมากแล้ว ตอนเรียนแกรมม่าอยู่งงมาก รู้สึกว่าตัวเองแย่ด้านภาษา แต่ตอนนี้ที่อธิบายได้ไม่ใช่เพราะผมเรียนแกรมม่าและจำได้เยอะแต่เป็นผลจากการฝึกใช้ภาษาอังกฤษเพียวๆเลยครับ (ผมได้มาตั้งแต่เมื่องไทยไม่ใช่มาได้ที่นี่ อยู่ไหนก็เรียนภาษาได้ยืนยันๆ) 

รู้ภาษาก่อนเดี๋ยวแกรมม่ามันตามมาเองครับ

Sunday, October 20, 2013

การพูดสำคัญฉไน (คำศัพท์หรู)


ตอนนี้เราว่าด้วยเรื่องคำศัพท์สูงๆ สวยๆ หรูๆ ยากๆ หรือเรียกว่า "Big Words" ต้องหยิบต้องท่องออกมาใช้ เพื่อให้รู้สึกว่าเราใช้ภาษาได้ดี มีการศึกษาสูง ถ้าทำหยิบออกมาใช้ไม่ได้ก็อย่าใช้มันซะเลยดีกว่า!

ความเชื่อนี้มันจะเกิดกับคนที่ใช้ภาษาได้ระดับหนึ่ง ก็พยายามจะไปท่องศัพท์ยากๆทั้งหลาย จริงๆแล้ว คำศัพท์ยากใช้งานยาก ศัพท์พวกนี้มีความหมายเฉพาะ ใช้ได้ในบางสถานการณ์เท่านั้น บางครั้งเอามาใช้แทนกันกับศัพท์ง่ายๆไม่ได้ ถ้าใช้ผิดความหมายผิด ฟังดูตลก และโง่เขลาแทนที่จะดูฉลาด

ต่อให้ใช้งานได้ถูก การที่นำมาใช้ในชีวิตประจำวันก็ถือเป็นเรื่องตลกขบขัน "ตานี่มาจากราชวงศ์ไหนเนี่ย ศัพท์เทพมาเชียว ฮา" ฝรั่งต่างก็มีมุขตลกล้อเลียนพวกที่อวดความรู้โดยการใช้ศัพท์ยากๆเหล่านี้มาใช้งานผิดๆเหมือนกัน

คำหลายๆคำฝรั่งก็ยังไม่รู้ความหมายเลยครับ ดังนั้นเราจึงไม่ควรไปท่องไปใส่ใจมันมาก

ประการที่สาม ใช้คำศัทพ์ง่ายๆ กระชับ และได้ใจความ นั่นแหละถึงเป็นคนที่ภาษาได้ดี

แม้แต่งานเขียนทางวิชาการ บทความต่างๆ การเขียนโดยใช้ศัพท์ง่ายๆ กระชับ ได้ใจความ ถือเป็นสิ่งสำคัญ และจะใช้ศัพท์ยากเหล่านั้นด้วยความจำเป็นเท่านั้น ไม่ควรอย่างยิ่งที่จะไปพยายามหาศัพท์ยากมาใส่เพื่อแสดงการมีความรู้ของผู้เขียน เพราะการใส่ศัพท์ยากๆ ทำให้งานเขียนหมดความน่าสนใจ และเข้าใจยากต่อผู้อ่าน อย่าลืมครับ "ภาษาคือเครื่องมือในการสื่อสาร"

แต่ในที่นี่ไม่ได้หมายถึงรู้ศัพท์ยากไม่ดีนะครับ ดีมากด้วย เพราะศัพท์เหล่านั้นในบางสามารถอธิบายได้ชัดเจนมากกว่าคำง่าย การสื่อสารจะทำได้ดีกว่านั้นเอง ถ้าเป็นความสนใจส่วนตัวอยากจะรู้อยากจะลองก็ตามสบายเลยครับ

การพูดสำคัญฉไน (คิดประโยคก่อนพูดกับฝรั่ง)

จากตอนที่แล้ว เราพูดถึงเรื่องสำเนียง ว่าไม่มีความสำคัญเท่ากับการออกเสียง จังหวะ เน้นเสียง ให้ชัดและถูกต้อง

Image from : www.patheos.com
 วันนี้เรามาต่อถึงเรื่องการพูดกับฝรั่ง เนื่องจากเพราะเรากลัว และอายเมื่ออะไรผิด ใครเป็นอยู่ไม่ต้องตกใจครับ ความกลัวความอายเป็นเรื่องปรกติของมนุษย์  แต่เคยได้ยินไหมครับว่า ความกลัวความผิดพลาดนี่แหละแบ่งแยกคนที่ประสบความสำเร็จกับคนธรรมดาทั่วไป  เพราะความผิดพลาดเป็นตัวบอกทางให้เราไปสู่ความสำเร็จ หลักการนี้เอาไปใช้ได้ทุกที่นะครับไม่เพียงแต่การเรียนภาษา

จากความเชื่อที่ว่า

1. คิดประโยคก่อนพูด
2. ไม่มั่นใจว่าถูกต้องอย่าพูดเดียวเขาจะงง

ต้องบอกว่าไม่จริงเลยครับ ตรงกันข้ามเสียมากกว่า

ประการที่ 2 พูดผิดบ้างติดขัดบ้างดีว่าคิดประโยคนานๆ

พูดผิดบ้างถูกบ้างฝรั่งเข้าจะพยายามเข้าใจ ยังแถมคอยช่วยบอกคำที่ถูกต้องกับเราด้วย เขาจะรู้สึกถึงความพยายามของเราด้วย  แต่ในทางกลับกันถ้ามัวแต่คิดประโยคนานๆ เขาไม่รอนะครับ คนทนรอไม่ไหว น่ารำคาญและสร้างความสำพันธ์ที่แย่อีกต่างหาก

จริงอยู่ครับที่ถ้าเราได้มาเที่ยวต่างประเทศ หรือทำงานในประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่ อาจจะมีฝรั่งบางคนที่ไม่ชอบคนที่พูดผิดพูดถูกไม่ค่อยชัด ที่ไหนก็มีคนดีและไม่ดีทั้งนั้นเป็นเรื่องปรกติ แต่คนเหล่านี้มีจำนวนน้อยมาก เพราะพฤติกรรมเหล่านี้ไม่เป็นที่ยอมรับทางสังคมของเขา

"การใช้ภาษาคือเครื่องมือเพื่อการสื่อสาร เพื่อเปิดประตูความรู้และความสำพันธ์ ไม่ใช่สิ่งที่ทำเพื่อมาอวดกันว่าใครดีกว่าใคร"

Image from : www.steamfeed.com
สิ่งที่เป็นปัญหาที่สุดไม่ใช่ฝรั่ง แต่เป็นคนไทยด้วยกันนี่แหละ (ขออนุญาติ)กลัวว่าคนไทยจะว่าเรากระแดะพูดไม่เป็นยังจะอยากพูด ยังไม่พอชอบจับผิดและดูถูกเราอีก ผมต้องขอบอกอย่างนี้ครับไม่ต้องไปกลัวคนว่าเราว่าพูดไม่คล่องแล้วยังอยากจะพูด คนอยากจะด่าแม้ว่าเขาจะไม่ด่าเรื่องนี้ เขาก็ไปด่าเราเรื่องอื่นอยู่ดี ดังนั้นอย่าปล่อยให้สิ่งนั้นมาขวางความเจริญของเราดีกว่า พูดเองก็ประโยชน์เราเอง ไม่ใช่ประโยชน์ใครที่ไหน อย่าลืมครับ ถ้าเราอยากจะประสบความสำเร็จละทิ้งความกลัว และอายออกไป มุ่งมัน อย่างต่อเนื่อง ผมรับรองครับ

Saturday, October 19, 2013

ผมเอาเป็น Star Eggs ครับ

ว่าด้วยเรื่องอาหารยอดฮิตของคนไทย ไม่ว่าแห่งหนตำบลไหนต้องเคยได้ลิ้มลอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนปลายๆเดือน นั่นคือ....... "ไข่ดาว"

ไม่ใช่แค่ประเทศไทยครับ ที่ไหนก็มีไข่ดาวให้ลิ้มชิมรสเหมือนกัน วันหนึ่งผมเข้าไปสั่งอาหารกับเพื่อนในร้านขายอาหารเช้าแฟรนชายที่ได้รับความนิยมมากแห่งหนึ่งชื่อว่า IHOP

Image from : en.wikipedia.org

ตอนนี้หิวมากๆเพราะยังไม่ได้ทานอะไรมาตั้งแต่เช้า ผมไม่รีบรอรีบสั่งอาหารทันที

Waiter  : What would you like to have today, man?
ผม       : Uh...May I have this one. (เอานิ้วชี้ที่รูปที่เมนู)  Pancakes and eggs.
Waiter  : Sure. What kind of eggs would you like?
ผม       : (ผมคิดในใจ ในรูปมันก็ไข่ดาวนี่หว่า จะมีแบบไหนอีกอ่ะ)
              (ผมตอบอย่างมั่นใจ) I would like Star Eggs.
Waiter   : .... Star Eggs?!

เพื่อนผมที่ไปด้วยกันก็เป็นชาวอเมริกัน ต่างก็งงกันไปกับไข่ชนิดใหม่ Star Egg สงสัยคงจะอร่อยดังดาวยูเรนัส อันดินแดนอันไกลโพ้น

Image from : www.botanicalpaperworks.com 

หิวก็หิว แต่ก็ใช้เวลาอธิบายอยู่นานกว่าจะเข้าใจว่า สรุปแล้วเขาไม่เรียกกันว่า Star Egg แต่เขาแบ่งตามชนิดดังนี้ครับ


1. Sunny Side Up เป็นไข่ดาวที่เราเห็นกันบ่อยๆ ไข่จะสุกข้างเดียว อีกข้างจะดิบ รูปร่างเหมือนพระอาทิตย์ เลยเรียกว่า Sunny เนื่องจากสุกอยู่ข้างเดียวเลยใช้คำว่า Side Up

Image from : www.newgrounds.com

2. Over Easy ก็ไข่ดาวที่ทอดแบบคว่ำหน้าลงแป๊บเดียว ไม่สุกมาก ชื่อเรียกน่าจะมาจาก Over คือเหนือ คว่ำลองไป ส่วน Easy ก็ประมาณว่าเบาๆนะ แค่ผิวๆ ดังนั้นถ้าจะให้สุกมากหน่อยก็จะเรียกว่า Over Medium และ Over Hard ตามลำดับ


Image from : www.sodahead.com
3. Over Cooked แบบนี้คือทอดจนสุกจนไข่เป็นสีน้ำตาล ซึ่ง Over คือเหนือ หรือมากกว่า Cooked คือทำให้สุก Over Cooked รวมกันคือสุกมากๆหน่อย

Image from : annieliciousfood.wordpress.com

นอกจากประเภทไข่ดาวแล้ว ยังมีไข่ต้ม (Boiled Eggs) และ ไข่คน (Scrambled Egg)

ดังนั้นเวลาไปใส่อาหารหรือเล่าอาหารโปรดให้ฝรั่งฟัง อย่าไปเล่าว่า Star Eggs หล่ะครับ อิอิ